น้ำท่วมแหล่งประวัติศาสตร์ในเวนิส ทุก ๆ ปีและหลังจากฝนตกเกือบทุกครั้งพาดหัวข่าวจะเป็นเรื่องที่คุ้นชิน เวนิสถูกน้ำท่วมและกำลังจมน้ำในเวลาเดียวกันระดับทะเลในทะเลสาบน้ำเค็มชายฝั่งของเวนิสสูงกว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว 10 เซนติ-เมตร คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติคาดว่า น้ำท่วมที่เคยเกิดทุกๆหนึ่งร้อยปีจะเกิดขึ้นทุก ๆ หกปีภายในปี 2050และเกิดขึ้นทุก ๆ ห้าเดือนเมื่อถึงปี 2100น้ำท่วมเช่นนี้ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทำให้ร้อยละ 70 ของเมืองจมอยู่ใต้น้ำความสำคัญที่เร่งด่วนกว่าอาจเป็นการรักษาสมบัติและศิลปวัตถุของเวนิส หลังน้ำท่วมเมื่อเดือนพฤศจิกายน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ

และนักศึกษามหาวิทยาลัยได้ไปเยือนพิพิธภัณฑ์และโบสถ์ที่เสียหายเพื่อเคลื่อนย้ายวัตถุล้ำค่าขึ้นไปบนชั้นที่สูงกว่า ในบางกรณี พวกเขาตั้งเป้าหมายจะหาบ้านใหมให้ศิลปวัตถุเหล่านั้นนอกเมืองเวนิสนั่นเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวจนกระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากโครงการปกป้องเมืองเวนิสโมเซ (MOSE Defense Project) ของรัฐบาลอิตาลี ซึ่งจะใช้กำแพงกันคลื่นขนาดใหญ่ปิดล้อมทะเลสาบน้ำเค็มชายฝั่ง โครงการนี้มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2011 แต่ล่าช้าออกไปเพราะค่าใช้จ่ายบานปลายและถูกคัดค้าน ตอนนี้
เจ้าหน้าที่คาดว่าโครงการโมเซจะเริ่มปกป้องเมืองเวนิสได้ภายในปี 2022

โรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ฤดูใบไม้ผลิคุณอาจจะเป็นในไม่ช้าและถ้าคุณเป็นอยู่แล้วอาการอาจจะหนักกว่าเดิม
คำเตือนของสถาบันประเมินภูมิอากาศแห่งชาติสหรัฐฯเมื่อปี 2018บอกว่า โรคภูมิแพ้เช่น โรคหืดและไข้ละอองฟาง มีแนวโน้มจะทำให้ผู้คนเจ็บป่วยมากขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยน-แปลงสภาพภูมิอากาศอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นและฤดูใบไม้ผลิที่มาถึงเร็วขึ้นรวมกันกระตุ้นให้พืชปล่อยเรณูมากขึ้นตลอดฤดูใบไม้พลิที่ยาวนานขึ้น

ปูปล่อยคาร์บอน หนองน้ำเค็มเป็นที่กักเก็บคาร์บอนนับล้านตันแต่ปูก้ามดาบที่ชอบขุดรูอาจปล่อยคาร์บอนออกมา โพรงที่มันขุดทำให้เกิดรูขึ้นในดินและเปิดพื้นผิวให้อินทรียวัตถุที่ปล่อยคาร์บอนนักวิจัยบอกว่า สัตว์ที่ขุดรูชนิดอื่น เช่นหอยกาบและกุ้ง อาจสร้างความเสียหายอย่างเดียวกัน

ค่ำคืนจะสว่างไสวกว่าเดิม ปัจจุบัน มลพิษทางแสงเป็นการรบกวนสิ่งแวดล้อมที่เรื้อรังที่สุดอย่างหนึ่งในโลกเมื่อปี 2016 นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าพื้นที่ร้อยละ 99 ของภาคพื้นทวีปสหรัฐฯและยุโรปเผชิญกับมลพิษทางแสงผลการศึกษาของพวกเขาพบว่าหนึ่งในสามของมนุษยชาติ ซึ่งรวมถึงชาวอเมริกาเหนือเกือบร้อยละ 80ไม่สามารถมองเห็นทางช้างเผือกข้อมูลจากดาวเทียมซูโอมิเอ็นพีพีชี้ว่ามลพิษทางแสงที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นราวร้อยละสองต่อปีจากปี 2012 ถึง 2016แสงไฟทุกชนิด โดยเฉพาะไฟแอลอีดีคืตัวการ เนื่องจากไฟเหล่านี้ประหยัดพลังงานกว่าหลอดไส้และหลอดประหยัดไฟไฟแอลอีดียังเปิดทิ้งไว้ได้นานกว่า ทำให้ฉายแสงราคาถูกไปได้ทุกทิศทางการปราศจากความมืดอาจส่งผลต่อสัตว์ชนิดใดก็ตามที่ชีววิทยาของมันขึ้นอยู่กับจังหวะรอบวัน ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *